3 ประเด็น ภาษีคลินิค เสริมความงาม ที่น่ารู้
สวัสดีครับวันนี้มาชวนอ่านสบายๆกับ 3 ประเด็น ภาษีคลินิค ที่ เจ้าของคลินิคมักมาถาม อาจเป็นประเด้นง่ายๆแต่เจอกันบ่อย
มีอะไรบ้างมาดูกันครับ
-
ถ้าจดบริษัทฯแล้ว การจ่ายค่าจ้างแพทย์ ต้องระวัง !
หลายคลินิคมาก ๆที่จดบริษัทฯ แล้ว แต่ทำการจ่ายเงินให้แพทย์ โดยมีการหักภาษี ณ ที่จ่าย ซึ่งการทำแบบนี้ผลคือ จะทำให้รายได้ของแพทย์ท่านนั้น เป็นเงินได้ประเภท 40[2]
ซึ่งสำหรับตัวแพทย์นั้น สามารถหักค่าใช้จ่ายได้น้อยมาก (50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท แค่นี้เอง) ดังนั้น ต้องดูดีๆการจ่ายเงินให้แพทย์ ว่าเราทำอย่างไรอยู่
.
.
ถ้าไม่มีการ หัก ณ ที่จ่าย นั้นถือว่า แพทย์ผู้นั้นมารักษา วินิจฉัยคนไข้อย่างอิสระตาม วิชาชีพแพทย์ คลินิคเป็นเพียงให้ใช้สถานที่และเครื่องมือ ไอ้แบบนี้ เวลาคลินิคจ่ายเงินให้แพทย์นั้น ไม่ต้องหัก ณ ที่จ่ายนะครับ
ถึงจะทำให้รายได้ที่แพทย์ได้รับนั้น เป็นประเภท 40[6] สามารถหัก ค่าใช้จ่ายได้ถึง 60% ไม่มีลิมิต ดังนั้นต้องดูดีๆ
.
.
2. รายได้ของคลินิค ไม่เสีย VAT ทั้งหมด ….. ระวัง ผิด!
จริงอยู่ที่รายได้ตามการประกอบวิชาชีพแพทย์ นั้นถูกยกเว้น VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% แต่ไม่ใช่ทั้งหมดนะครับ
เพราะ การบริการ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับวิชาชีพแพทย์ เช่น กดสิว / เลเซอร์ขน / ทำทรีตเม้นนวดหน้า พวกนี้ถือเป็นการบริการทั่วไปทั้งสิ้น
จะถูกเข้าข่าย ให้เก็บภาษี VAT 7% ด้วยนั่นเอง
เพราะฉะนั้นหาก สรรพากร มาหาที่คลินิคก็ต้องเตรียม เอ้ย ต้องหาคำอธิบายที่ถูกต้องด้วยนะครับ
.
3. สต้อค ยา สำคัญนะ
หลายๆคลินิคที่ มัวแต่ตั้งใจทำ บัญชีให้ดี แต่ลืมการทำ สต้อคสินค้าคงเหลือ หรือทำ แต่ไม่สอดคล้องกับงบการเงินที่นำส่งสรรพากร
ตัวเลขสินค้าคงเหลือนั้นสามารถ โยงไปยังรายได้ที่คุณนำส่งได้ ว่าเหมาะสมหรือไม่ การที่สินค้าคงเหลือ มากไป ต่ำไป ล้วนไม่มีผลดีกับกิจการ
ดังนั้น อย่าละเลย ส่วนนี้กัน เพราะผมเห็นมามากที่สรรพากร ประเมินภาษี จากการที่
ปริมาณ สต้อค สินค้าสิ้นงวดนั้น ไม่สอดคล้องกับรายได้ที่ท่านนำส่งนะครับ
.
.
นี่ก็เป็น 3 ง่ายๆ เกี่ยวกับ ภาษีคลินิค ที่ต้องระมัดระวัง และเตรียมการให้กิจการของเราปราศจากควาเมสี่ยงทางภาษีมากที่สุดครับผม
ไว้เจอกันใหม่บทความหน้านะครับ
สวัสดีครับ
ณัฐวัฒน์ โลหะพิทักษ์,CPA