TFRS16 คือ อะไร สัญญาเช่าแบบไหนที่ต้องประยุกต์ใช้ มาดูกัน
โดย
TFRS16 คือ
TFRS16 คือ ?? ตั้งแต่ในปี 2563 เป็นต้นไป มาตรฐานฯ เรื่องสัญญาเช่า (ฉบับใหม่) หรือ TFRS 16 จะถูกนำมาใช้แทน TAS 17
โดยครั้งนี้ถือเป็นการปรับเปลี่ยนมุมมองทางบัญชีด้านผู้เช่า (Lessee) เกี่ยวกับสัญญาเช่าดำเนินงาน หรือ Operating Lease ที่เรียกได้ว่าเป็น “The big change for lessees” กันเลยทีเดียว
กล่าวคือ Operating Lease ที่มาตรฐานฯใช้ว่า “สัญญาเช่าดำเนินงาน” ซึ่งนักบัญชีบ้านเราและคนทั่วไปจะรู้จัก คุ้นเคยและเข้าใจลักษณะการเช่าทรัพย์สินกันดีอยู่แล้ว
จึงไม่มีประเด็นกับนิยามความหมายดังกล่าว และมักจะเรียกว่า เช่าธรรมดา เช่าปกติ หรือบางคนก็เทียบว่าตรงกับ Rent เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาทั้ง
ทางบัญชีและภาษีอากรก็มองตรงกันมาตลอดว่า ทรัพย์สินตามสัญญาเช่าธรรมดาที่ผู้เช่าได้เช่ามาใช้งานนั้น
ไม่ใช่รายการที่จะต้องรับรู้เป็นสินทรัพย์ซึ่งเมื่อรับรู้ค่าเช่าหรือค่างวดเป็นค่าใช้จ่ายตามรอบบัญชีนั้น ๆ แล้วก็จบ
EBIT/EBITDA จะสูงขึ้น เพราะไ่ม่มีค่าเช่าแล้ว แต่จะหลายมาเป็น ค่าเสื่อมและดอกเบี้ยแทน
อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะสูงขึ้น เพราะมีหนี้สินจากสัญญาเช่าเพิ่มขึ้นมาในงบ
- “TFRS 16 ให้ผู้เช่ารับรู้ทรัพย์สินที่เช่าจากสัญญาเช่าทุกประเภทเป็นสินทรัพย์สิทธิการใช้และให้ทยอยตัดค่าเสื่อมราคาตามอายุการเช่า รวมถึงให้รับเป็นหนี้สินควบคู่กันและบันทึกรับรู้ดอกเบี้ยจ่ายพร้อมทยอยตัดลดหนี้สินลงตามงวดที่ชำระ”
Beyond Audit, We enhance your value & retain your benefit.
- แต่มีข้อยกเว้น หากเป็นกรณีที่อายุสัญญาเช่าไม่เกิน 1 ปี หรือเป็นกรณีทรัพย์สินตามที่เช่ามีมูลค่าต่ำ สามารถทำเหมือนเดิมได้ครับ (คือบันทึกเป็นค่าเช่าจ่ายแต่ละงวด แล้วก็จบ)
TFRS 16 นั้น มองรวมทุกประเภทสัญญาเช่าเป็นแบบเดียว (A Single lessee Accounting Model)ไม่มีการแยกเป็นสัญญาเช่าการเงินและสัญญาเช่าดำเนินงานแล้วนะครับ (เน้นว่าเฉพาะด้านผู้เช่านะครับ สำหรับทางด้านผู้ให้เช่านั้นยังคงแยกเป็น 2 แบบเหมือนเดิมครับ อย่าไขว้เขว)
อย่าไรก็ตามก่อนที่จะพิจารณาสัญญาเช่า ว่าเข้า TFRS16 หรือไม่ ต้องดูว่าสัญญานั้นมีสินทรัพย์ที่ระบุได้หรือไม่
เช่น กรณี สนามบิน อาจไม่ใช่สัญญาเช่าก็เป็นได้
สำหรับในมิติขอทางภาษี
สรุปได้ว่าทางภาษีอากรนั้นให้รับรู้ค่าเช่าหรือค่างวดเป็นรายจ่ายในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีนั้น ๆ
โดยไม่สามารถรับเป็นสินทรัพย์แบบทางบัญชีได้ (หากตอบแบบสั้น ๆ เลยก็คือบัญชีเปลี่ยนแต่กฎหมายไม่ได้เปลี่ยนครับ) ซึ่งเมื่อมองโลกแง่บวกจะเห็นว่าเกิดงานใหม่ให้นักบัญชีทำเพิ่มขึ้นอีก 2 รอบเลยนะครับ
อันแรก คือ จะต้องไปกวาดสัญญาเช่าทั้งหมดที่เข้าเกณฑ์มาลงบัญชี และ
อีกเด้ง คือ จะต้องไม่ลืมปรับรายการคำนวณกำไรขาดทุนทางภาษีโดยเอาค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยของสัญญาเช่าออกและเอาค่าเช่ากลับเข้าเป็นรายจ่ายเหมือนเดิมครับ
ตัวอย่างการคำนวณ TFRS16
บริษัททำสัญญาเช่าอาคาร 10 ปี
โดยจ่ายค่าเช่าคงที่ 5 ล้านบาทต่อปี และปรับขึ้นในปีที่ 6 15%
ทั้งนี้กิจการสามารถต่อสัญญ่ได้อีก 5 ปี
ให้อัตราดอกเบี้ยของสัญญาอยู่ที่ 7% (ถ้าส่วนนี้ไม่ทราบกันก็ไปใชอัตราดอกเบี้ย Zero Coupon ของธนาคารแห่งประเทศไทยนี่แหละ)
ดังนั้น คำนวณสินทรัพย์ ROU
ค่าเช่าจ่ายปีที่ 1 = 5,000,000
ค่าเช่าจ่าย คิด Present Value ปี 2-14 (คิดเสมือนว่ากิจการจะต่ออายุสัญญาเพราะมีแนวโน้มสูง) = 49,669,611
รวม 54,669,611
บันทึกบัญชี
ณ วันแรกที่เช่า
Dr สิทธิในการใช้สินทรัพย์ 54,669,611
Cr เงินสด (5,000,000)
Cr หนี้สินตามสัญญาเช่า (49,669,611)
ณ สิ้นปีที่ 1
Dr ค่าเสื่อมราคา (54,669,611 / 15ปี) 3,644,641
Cr สิทธิในการใช้สินทรัพย์ (3,644,641)
Dr ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย (49,669,611 x 7%) 3,476,873
Cr หนี้สินตามสัญญาเช่า (3,476,873)
งบกระแสเงินสด
กระแสเงินสดจากกิจกรรมดำเนินงาน
ปรับปรุงดอกเบี้ยจ่าย 3,476,873
ปรับปรุงค่าเสื่อมราคา 3,644,641
กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน
จ่ายชำระเงินต้นของหนี้สินตามสัญญาเช่า (5,000,000)
โดย
เครดิตร >> PwC