เงินได้ประเภท ไหนที่เกี่ยวข้องกับเรา ? รายได้เราเป็นประเภทไหน ? ในการเสียภาษีจะต้องคำนวณภาษีอย่างไร ?
ไม่ว่าเราจะมีรายได้ในรูปของ บุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล
การรู้จักเงินได้ทั้ง 8 ประเภทเป็นสิ่งจำเป็นครับ เพื่อแยกให้ออกว่า รายได้ และ รายจ่ายที่เราจ่ายให้คนอื่นนั้น
เป็นแบบไหน เพราะมีผลกระทบทางภาษีที่ต่างกัน
กฎหมายจึงได้แบ่งลักษณะเงินได้(พึงประเมิน) ออกเป็นกลุ่มๆ ตามความเหมาะสมเพื่อกำหนด วิธีคำนวณภาษีให้เกิดความเป็นธรรมมากที่สุด ดังนี้
1. เงินได้ประเภท ที่ 1 ได้แก่ เงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน (ชื่อเล่นคือ เงินเดือน นั่นเอง) ไม่ว่าจะเป็น
– เงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยเลี้ยง โบนัส เบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ
– เงินค่าเช่าบ้านที่ได้รับจากนายจ้าง
– เงินที่คำนวณได้จากมูลค่าของการได้อยู่บ้าน ซึ่งนายจ้างให้อยู่โดยไม่เสียค่าเช่า
– เงินที่นายจ้างจ่ายชำระหนี้ใด ๆ ซึ่งลูกจ้างมีหน้าที่ต้องชำระ
– เงิน ทรัพย์สิน หรือประโยชน์ใด ๆ บรรดาที่ได้เนื่องจากการจ้างแรงงาน เช่น มูลค่าของการได้รับประทานอาหาร เป็นต้น
Tips > ประเภท เงินได้ แบบที่ 1 แม้เกิน 1.8ล้านต่อปี ก็ไม่ต้องเสีย VAT นะจ๊ะ
2. เงินได้ประเภท ที่ 2 (ทำคนเดียวเสร็จ) เงินค่าจ้างทั่วไป ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าตอบแทนที่คุณไม่ได้อยู่ในฐานะเจ้านายลูกน้อง และไม่เข้าข่าย การประกอบวิชาชีพอิสระ เช่น
- ค่านายหน้า ค่าคอมมิชชั่น หรือค่าตอบแทนของเซลส์แมน, ตัวแทนประกันชีวิต, นักธุรกิจขายตรง, นักธุรกิจเครือข่าย และอาชีพอื่นที่คุณไม่ได้เป็นลูกจ้างหรือลูกน้อง
- ค่าตอบแทนของพริตตี้, พิธีกร, Model, MC, PG, PC ตามงานโชว์ตัวหรืองาน Event ต่างๆ
- รับงานรีวิวสินค้า หรือ Advertorial หรือ Sponsored post ในโซเชียลมีเดียต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, Twitter, Youtube
- ค่าปรึกษาของผู้ที่ไม่ได้ประกอบวิชาชีพแพทย์/พยาบาล, ที่ปรึกษากฎหมาย, วิศวกร, สถาปนิก, นักบัญชี หรือนักประณีตศิลปกรรม
- ผู้ว่าจ้างหาที่อยู่ให้โดยไม่คิดค่าเช่า หรือออกเงินค่าเช่าบ้านให้ (ในกรณีที่ผู้ว่าจ้างของคุณไม่ใช่หน่วยงานราชการหรือรัฐวิสาหกิจ) ซึ่งเบื้องต้นจะคิดเป็นมูลค่า 20% ของค่าจ้างตลอดทั้งปี*5
- ผู้ว่าจ้างเคลียร์ภาระหนี้สินให้คุณ
- เบี้ยประชุม ค่าสอน ค่าสอบที่หน่วยงานเอกชนจ่ายให้คุณ
- ค่าปรึกษาของผู้ประกอบวิชาชีพอิสระที่ไม่ได้คิดตามความยากง่ายและปริมาณงาน เช่น ค่าวิชาชีพทางการแพทย์/พยาบาลอื่นๆที่เหมาจ่ายเป็นรายเดือน หรือไม่เข้าข่ายการประกอบวิชาชีพอิสระ (เงินได้ประเภทที่ 6)
- ค่าจ้างการสร้างผลงานที่เป็นทรัพย์สินทางปัญญาและสุดท้ายผู้ว่าจ้างจะเป็นเจ้าของสิทธิ์ขาดในงานนั้น เช่น รับจ้างเขียนคอลัมน์, แต่งเพลง, เขียน website, software ฯลฯ
- ค่าตอบแทนของผู้ประกาศข่าว โฆษก พิธีกร นักจัดรายการวิทยุ นักจัดรายการในสถานบันเทิง ผู้บรรยายหรือนักพากย์ ผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงสาธารณะ ผู้กำกับการแสดง ผู้จัดการทีมกีฬา ผู้ฝึกสอนนักกีฬาหรือบุคคลที่ทำหน้าที่ทำนองเดียวกัน
- เงิน ทรัพย์สิน หรือผลประโยชน์อื่นๆที่ได้รับจากผู้ว่าจ้างและเกี่ยวข้องกับการรับจ้างทั่วไป
Tips > ถ้าบริษัท หรือห้างฯ จ่ายเงินได้ประเภทที่ 2 ให้บุคคลธรรมดา ต้องหัก ณ ที่จ่ายตาม อัตราก้าวหน้า นะจ๊ะ
3. เงินได้ประเภท ที่ 3 (ค่าลิขสิทธ์) ได้แก่ ค่าแห่งกู๊ดวิลล์ ค่าแห่งลิขสิทธิ์หรือสิทธิอย่างอื่น เงินปี หรือเงินได้ที่มีลักษณะ เป็นเงินรายปีอันได้มาจากพินัยกรรม นิติกรรมอย่างอื่น หรือคำพิพากษาของศาล
4. เงินได้ประเภท ที่ 4 ได้แก่ ดอกเบี้ย เงินปันผล เงินส่วนแบ่งกำไร เงินลดทุน เงินเพิ่มทุน ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนหุ้น ฯลฯ เป็นต้น
(ก) ดอกเบี้ยพันธบัตร ดอกเบี้ยเงินฝาก ดอกเบี้ยหุ้นกู้ ดอกเบี้ยตั๋วเงิน ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ไม่ว่าจะมี หลักประกันหรือไม่ ดอกเบี้ยเงินกู้ยืม
(ข) เงินปันผล เงินส่วนแบ่งของกำไร หรือประโยชน์อื่นใดที่ได้จากบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล กองทุนรวม หรือสถาบันการเงินที่มีกฎหมายไทยให้จัดตั้งขึ้นโดยเฉพาะสำหรับให้กู้ยืมเงิน ฯลฯ
(ค) เงินโบนัสที่จ่ายแก่ผู้ถือหุ้น หรือผู้เป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล
(ง) เงินลดทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเฉพาะส่วนที่จ่ายไม่เกินกว่ากำไรและเงินที่กันไว้รวมกัน
(จ) เงินเพิ่มทุนของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลซึ่งตั้งจากกำไรที่ได้มาหรือรับช่วงกันไว้รวมกัน
(ฉ) ผลประโยชน์ที่ได้จากการที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลควบเข้ากันหรือรับช่วงกันหรือ เลิกกัน ซึ่งตีราคาเป็นเงินได้เกินกว่าเงินทุน
(ช) ผลประโยชน์ที่ได้จากการโอนการเป็นหุ้นส่วนหรือโอนหุ้น หุ้นกู้ พันธบัตร หรือตั๋วเงิน หรือ ตราสารแสดงสิทธิในหนี้ ที่บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นเป็นผู้ออก ทั้งนี้เฉพาะซึ่งตีราคา เป็นเงินได้เกินกว่าที่ลงทุน
เงินได้ประเภทที่ 4 ในหลาย ๆ กรณี กฎหมายให้สิทธิที่จะเลือกเสียภาษีโดยวิธีหักภาษี ณ ที่จ่าย แทนการนำไปรวมคำนวณกับเงินได้อื่นตามหลักทั่วไป ซึ่งจะทำให้ผู้มีเงินได้ที่ต้องเสียภาษีตามบัญชีอัตราภาษี ในอัตราที่สูงกว่าอัตราภาษี หัก ณ ที่จ่าย สามารถประหยัดภาษีได้
5. เงินได้ประเภทที่ 5 เงินได้จากการให้เช่าทรัพย์สินทั้งเช่าบ้าน เช่ารถ เช่าชุด บลาๆ
6. เงินได้ประเภทที่ 6 ได้แก่ เงินได้จากวิชาชีพอิสระ คือวิชากฎหมาย การประกอบโรคศิลป วิศวกรรม สถาปัตยกรรม การบัญชี ประณีตศิลปกรรม หรือวิชาชีพอื่นซึ่งจะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดชนิดไว้
7. เงินได้ประเภท ที่ 7 ได้แก่ เงินได้จากการรับเหมาที่ผู้รับเหมาต้องลงทุนด้วยการจัดหาสัมภาระ
เงินได้ประเภทที่ 7 หมายถึงค่ารับเหมาที่มีการเหมาทั้งค่าแรงและค่าของ โดยที่คุณเป็นผู้จัดหาทั้งแรงงาน เครื่องมือ และสัมภาระเอง เช่น
รับเหมาก่อสร้าง
รับผลิตสินค้าตามแบบที่ลูกค้าต้องการโดยที่ปกติคุณไม่ได้ทำขายเป็นปกติทั่วไป เช่น ผลิตตามต้นแบบของลูกค้าซึ่งไม่มีอยู่ในแคตาล็อกสินค้าของคุณ
ดังนั้น ถ้ามีการรับเหมาแต่ค่าแรงแล้วให้ลูกค้าเป็นคนซื้อวัสดุเองจะไม่ใช่การรับเหมาทั้งค่าแรงและค่าของตามความหมายนี้ เพราะเป็นเพียงการว่าจ้างธรรมดาในฐานะ เงินได้ประเภทที่ 2 หรือถ้าเป็นการรับจ้างที่มีค่าใช้จ่ายมากก็อาจเป็น เงินได้ประเภทที่ 8 ก็ได้
8.เงินได้ประเภทที่ 8 คือ เงินได้พึงประเมิน ที่ไม่สามารถจัดให้เข้ากลุ่มเงินได้ประเภทที่ 1-7
อะไรเป็นเงินได้ประเภทที่ 8 ได้บ้าง?
เงินได้ประเภทที่ 8 หมายถึงรายได้อะไรก็ได้ที่ไม่เข้าพวกเงินได้ประเภทที่ 1-7 ซึ่งสรุปไว้แล้วในตารางค่าใช้จ่าย เช่น
กำไรจากการขายกองทุนรวม RMF
กำไรจากการขายกองทุนรวม LTF
เงินปันผลจากกองทุนรวม รวมถึงเงินปันผลจากกองทุนรวม LTF
เงินได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์
เงินได้จากการเป็นนักแสดงสาธารณะ
เงินได้จากการเปิดสถานพยาบาลที่ให้บริการ 24 ชั่วโมงโดยมีการจ่ายยาและเตียงรับผู้ป่วยค้างคืน
เงินได้จากการเปิดภัตตาคาร ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงโรงแรม
เงินได้อื่นๆ นอกเหนือจากนี้ เช่น เงินได้จากการขายของออนไลน์
เงินได้แต่ละชนิด มีการหักค่าใช้จ่าย (แบบเหมาหรือแบบจริง) ต่างกันไปถ้าเรายื่นภาษีแบบบุคคลธรรมดา
และกรณีที่เราเป้นนิติบุคคล ประเภทเงินได้ต่างกัน ก็ทำให้เวลาเราจ่ายเงินออกไป ต้องหัก ณ ที่จ่ายต่างกันด้วย
ดังนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญมากก ที่ต้องศึกษานะครับ
หากสงสัยก็ติดต่อเราได้
Line : @onesiriacct
หรือ Onesiri-acc.com