การเฉลี่ยภาษีซื้อ คือ? ทำไมต้องมีการเฉลี่ย? (6/12/65)
การปันส่วนหรือแบ่งภาษีซื้อที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยผู้ประกอบการที่มีรายได้ทั้งประเภท

ที่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(VAT) และประเภทที่ไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม(NON-VAT) ที่ไม่สามารถแยกได้อย่างชัดเจนว่า สินค้าหรือบริการที่ใช้นั้นเป็นประเภท VAT หรือ NON-VAT จึงต้องนำภาษีซื้อที่เกิดขึ้นมาเฉลี่ยตามส่วนของกิจการที่ผู้ประกอบการนำภาษีมูลค่าเพิ่มไปใช้ หากผู้ประกอบการไม่ทำการเฉลี่ยภาษีซื้อจะถือว่าเป็นภาษีซื้อต้องห้ามทั้งจำนวน
ตัวอย่างธุรกิจที่ต้องเฉลี่ยภาษีซื้อ
- ธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (NON-VAT) และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง (VAT)
- ธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ (NON-VAT) และธุรกิจให้บริการสิ่งอำนวยความสะดวก (VAT)
- ธุรกิจส่งออกพืชผลการเกษตร (NON-VAT) และธุรกิจขายพืชผลการเกษตร (VAT)
- ธุรกิจเงินทุนหลักทรัพย์ (NON-VAT) และธุรกิจให้เช่าซื้อรถยนต์ (VAT)
เกณฑ์การเฉลี่ยภาษีซื้อ
สามารถแบ่งได้เป็น 3 วิธี
1.เฉลี่ยภาษีซื้อทั่วไป หรือ เฉลี่ยตามส่วนของรายได้
คือ การเฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากสินค้าหรือบริการ ที่ใช้ในการดำเนินกิจการทั้งประเภทที่ VAT และ NON-VAT ได้แก่
- ภาษีซื้อสำหรับค่าซื้อทรัพย์สินส่วนกลาง เช่น เครื่องใช้สำนักงาน
เครื่องตกแต่งสำนักงาน เครื่องมือ เครื่องใช้ต่าง ๆ วัสดุสิ้นเปลือง - ภาษีซื้อสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนกลาง เช่น ค่าสาธารณูปโภค ค่าโฆษณา ค่าซ่อมแซม
วิธีการ
- ปีแรกที่เริ่มมีรายได้ (ปีแรกที่มีรายได้เกิดขึ้นจริงไม่น้อยกว่า 6 เดือนภาษี) ประมาณการรายได้ของกิจการทั้ง 2 ประเภท ในปีที่เริ่มมีรายได้ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ที่ต้องเสียภาษี โดยปีแรกให้ถือเป็นภาษีซื้อได้ไม่เกิน 50% ของภาษีซื้อที่นำมาเฉลี่ย
ตัวอย่าง
บริษัท GOLDFISH จำกัด เริ่มเปิดกิจการ 2565 ประกอบธุรกิจขายอาหารปลาและของตกแต่งตู้ปลา ได้ประมาณสัดส่วนรายได้ของธุรกิจในสัดส่วน 40:60 ในปี 2565 มีภาษีซื้อได้ไม่เกิน 50% ของภาษีซื้อที่นำมาเฉลี่ย
| เดือน
(ปี 65) |
ภาษีซื้อที่นำมาเฉลี่ย | ภาษีซื้อที่เฉลี่ยตามประมาณการรายได้ | ภาษีซื้อที่มีสิทธินำมาหักออกจากการขาย 50% | |
| ขายอาหารปลา
40% |
ขายของตกแต่ง ตู้ปลา60% |
|||
| มิ.ย. | 10,000 | 4,000 | 6,000 | 5,000 |
| ก.ค. | 30,000 | 12,000 | 18,000 | 15,000 |
| ส.ค. | 7000 | 2,800 | 4,200 | 3,500 |
| ก.ย. | 12,000 | 4,800 | 7,200 | 6,000 |
| ต.ค. | 8,500 | 3,400 | 5,100 | 4,250 |
| พ.ย. | 5,000 | 2,000 | 3,000 | 2,500 |
| ธ.ค. | 24,000 | 9,600 | 14,400 | 12,000 |
| รวม | 96,500 | 38,600 | 57,900 | 48,250 |
- เมื่อสิ้นปี ปรากฏว่ามีรายได้ที่เกิดขึ้นจริงต่างกับตามที่ประมาณไว้ ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำการปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริง ภายในเดือนภาษีแรกของปีถัดจากปีที่เริ่มมีราย
โดยให้ปรับปรุงตั้งแต่เดือนภาษีแรกถึงเดือนสุดท้ายของปีที่เริ่มมีรายได้ พร้อมทั้งยื่นแบบ ภ.พ.30.2 เพิ่มเติมเพียงฉบับเดียว ภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดจากเดือนภาษีแรก
ตัวอย่าง
กรณีรายได้ที่เกิดขึ้นจริง ธุรกิจขายอาหารปลาและของตกแต่งตู้ปลามีสัดส่วน 55 : 45 ต้องทำการ
ปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามสัดส่วนที่เกิดขึ้นจริงในปี 2565 ภายในเดือนมกราคม 2566 ดังนี้
| เดือน | ภาษีซื้อที่นำมาเฉลี่ย | ภาษีซื้อที่มีสิทธินำมาหักออกจากการขาย 50% | ขายของตกแต่ง ตู้ปลาภาษีซื้อที่เฉลี่ยตามจริง 45% |
| มิ.ย. | 10,000 | 5,000 | 4,500 |
| ก.ค. | 30,000 | 15,000 | 13,500 |
| ส.ค. | 7000 | 3,500 | 3,150 |
| ก.ย. | 12,000 | 6,000 | 5,400 |
| ต.ค. | 8,500 | 4,250 | 3,825 |
| พ.ย. | 5,000 | 2,500 | 2,250 |
| ธ.ค. | 24,000 | 12,000 | 10,800 |
| รวม | 96,500 | 48,250 | 43,425 |
กรณีต้องจ่ายชำระภาษีเพิ่ม (ภาษีขาย>ภาษีซื้อ)
ผู้ประกอบการต้องชำระส่วนเกิน สามารถนำภาษีซื้อไปเป็นต้นทุนหรือรายจ่าย ในปีที่เกิดรายการนั้น
กรณีได้คืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภาษีขาย<ภาษีซื้อ)
ผู้ประกอบการต้องขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม สามารถนำภาษีซื้อไปเป็นต้นทุนหรือรายจ่าย ในปีที่เกิดรายการนั้น
- ปีที่ 2 เป็นต้นไป ให้ผู้ประกอบการใช้รายได้ของปีที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์เฉลี่ยได้
เมื่อสิ้นปี สามารถเลือกได้ว่า ปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในปีปัจจุบันของแต่ละประเภทกิจการ ภายในเดือนภาษีแรกของปีถัดไป หรือไม่ปรับปรุงภาษีซื้อให้เป็นไปตามส่วนของรายได้ที่เกิดขึ้นจริงในปีปัจจุบัน โดยเมื่อเริ่มต้นปีใหม่ก็จะใช้รายได้ของปีที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์
ข้อยกเว้นเฉลี่ยตามส่วนของรายได้
- ถ้ามีรายได้ ที่ต้องเสีย VAT ไม่น้อยกว่า 90 % ของรายได้ทั้งหมด
- สามารถนำภาษีซื้อทั้งจำนวนหักออกจากภาษีขาย
- ห้ามนำไปรวมเป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย
- สิ้นปีไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้อ
- ถ้ามีรายได้ ที่ต้องเสีย NON-VAT ไม่น้อยกว่า 90 % ของรายได้ทั้งหมด
- ไม่สามารถนำภาษีซื้อทั้งจำนวนหักออกจากภาษีขาย
- ให้นำไปรวมเป็นต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย
- สิ้นปีไม่ต้องปรับปรุงภาษีซื้อ
การเฉลี่ยภาษีซื้อ คือ
2.เฉลี่ยภาษีซื้อตามพื้นที่การใช้อาคาร
คือ การเฉลี่ยภาษีซื้อที่เกิดจากการก่อสร้างอาคาร เพื่อใช้ในกิจการทั้งประเภทมี VAT และ NON-VAT ซึ่งจะนำภาษีที่เกิดขึ้นมาเฉลี่ยตามพื้นที่อาคารที่ใช้
โดยแบ่งเป็น 2 ส่วนดังนี้
- เมื่อเริ่มสร้างอาคาร
ต้องมีการประมาณพื้นที่อาคารที่ใช้แล้วแจ้งให้แก่สรรพากร ตามแบบ ภ.พ.05.1 ภายใน 30 วันนับแต่วันเริ่มก่อสร้างอาคาร หรือวันที่ได้รับอนุมัติให้ก่อสร้าง
และต้องเฉลี่ยภาษีซื้อตามสัดส่วนของการใช้พื้นที่ตามอัตราส่วนของแต่ละกิจการ
- เมื่อก่อสร้างอาคารเสร็จสมบูรณ์
ให้ผู้ประกอบการแจ้งการก่อสร้างอาคารแก่กรมสรรพากร ตามแบบภ.พ.05.2 ภายใน30 วัน
นับแต่วันที่สร้างเสร็จสมบูรณ์ ในระยะเวลา 3 ปี
และหากผู้ประกอบการไม่ได้ใช้พื้นที่ หรือใช้พื้นที่ไม่เกินกว่าที่ประมาณการไว้ ไม่ต้องมีการปรับปรุงภาษีซื้อที่ได้เฉลี่ยไว้
3.การเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์ที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด? มักไม่ค่อยพบเจอในกรณีจริงครับ
สรุปการเฉลี่ยภาษีซื้อ สามารถทำได้โดย เฉลี่ยตามส่วนของรายได้ เฉลี่ยภาษีซื้อตามพื้นที่การใช้อาคาร
และการเฉลี่ยภาษีซื้อตามหลักเกณฑ์อื่นๆที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนด

