ภาษี ร้านขายยา – เปิดร้านขายยา เสียภาษีอย่างไรบ้าง ?
การทำธุรกิจร้านขายยา ไม่ได้มีเพียงแค่การจัดหายาและให้บริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความเข้าใจในเรื่องภาษีที่เกี่ยวข้องด้วย เพื่อให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่นและถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้จะสรุปภาษีที่ร้านขายยาต้องรู้ โดยแบ่งเป็นประเภทต่างๆ ดังนี้
Step1 : ต้องดูก่อนว่าคุณขายยา ในนามบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคล(บริษัท/หจก)
เพราะ ภาษีของ 2 รูปแบบนี้ต่างกันสิ้นเชิงครับ
1.1 ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา: หากคุณเป็นเจ้าของร้านขายยาคนเดียวและไม่ได้จดทะเบียนในรูปแบบบริษัทหรือห้างหุ้นส่วน จะต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยรายได้ที่ได้รับจากการขายยาและการบริการอื่นๆ จะนำมารวมคำนวณภาษีถือเป็น รายได้ของคุณ ซึ่งร้านขายยามักเป็นเงินได้ประเภท 40[8] หัก ค่าใช้จ่ายตามจริงก็ได้ (เก็บเอกสารต้องครบ) หรือ หักค่าใช้จ่ายแบบเหมา 60% ก็ได้เช่นกัน
ดังนี้ ใครขายในรูปแบบบุคคลธรรมดาก็ต้องวางแผนเรื่องนี้ดีๆ และช่วยศึกษาค่าลดหย่อนของบุคคลธรรมดาด้วยว่ามีอะไรบ้าง จะได้ไม่เสียสิทธิเช่น ซื้อประกันครบแล้วหรือยัง / มีการลงทุนในกองทุน SSF, RMF ที่นำมาลดหย่อนได้เพิ่มมั้ย เป็นต้นครับ
1.2 ภาษีเงินได้นิติบุคคล: หากร้านขายยาจดทะเบียนในรูปแบบบริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล จะต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิของกิจการ โดยมีอัตราภาษีที่แตกต่างกันไปตามขนาดและประเภทของกิจการ
นิติบุคคลจะคิดภาษีต่างจาก บุคคลธรรมดาอย่างสิ้นเชิง เพราะคำนวณจาก รายได้-รายจ่าย = กำไร โดยนำกำไรไปคำนวณ ตามขนาดของกิจการท่าน
ถ้าท่านเป็น SME (รายได้ต่ำกว่า30ล้าน/ทุนจดทะเบียนไม่เกิน5ล้าน) กำไร 3 แสนบาทแรกไม่เสียภาษี / ส่วนที่เกิน 3แสน ถึง 3 ล้าน เสีย 15% / เกินกว่า 3 ล้านเสีย 20%
นิติบุคคลไม่มีคิดค่าใช้จ่ายแบบเหมานะครับ คุณต้องเก็บบิลค่าใช้จ่ายตามจริง ให้เป๊ะ ให้ครบ
Step 2 ถ้ารายได้ถึง 1.8 ล้านบาท ต้องจด VAT หรือภาษีมูลค่าเพิ่ม
ร้านขายยา มีภาษีที่เกี่ยวข้องอีกตัวคือ VAT ซึ่งรู้กันอยุ่แล้วว่าเก็บในอัตรา 7%
โดยเป็นภาษีที่ไม่ว่าจะเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลต้อง จดทะเบียน VAT เมื่อรายได้ถึง 1.8 ล้านบาทต่อปี
โดยคิดจาก ภาษีขาย-ภาษีซื้อครับ
ภาษีขาย เช่น คุณขายยาเม็ด 100 บาท ภาษีขาย = 7% x 100 = 7 บาท
ภาษีซื้อ เช่น ต้นทุนยาเม็ดนั้น 50 บาท ภาษีซื้อ = 7% x 50 = 3.5 บาท
ดังนั้น ภาษี มูลค่าเพิ่ม ร้านขายยา ที่ต้องนำส่งคือ 7 – 3.5 = 3.5 บาทนั่นเอง
ซึ่งตรงนี้ จะต้องยื่นแบบฟอร์ม ภพ 30 ทุกเดือน อาจจะทำเองก็ได้ถ้ามีเวลา หรือจ้างสำนักงานบัญชีแบบเราก็ได้เพื่อความสะดวกครับ
Step 3: ภาษี หัก ณ ที่จ่ายของร้านขายยา
ร้านขายยาอาจมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายในบางกรณี เช่น:
ค่าเช่า: หากร้านขายยาเช่าพื้นที่ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 5% จากค่าเช่าที่จ่ายให้ผู้ให้เช่า
ค่าบริการวิชาชีพอิสระ: หากมีการจ้างผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักบัญชี หรือทนายความ จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 3% จากค่าบริการ
ค่าโฆษณา: หากมีการจ่ายค่าโฆษณาให้กับนิติบุคคล จะต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 2%
เงินเดือนพนักงาน: ร้านขายยาที่มีพนักงาน จะต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายจากเงินเดือนและค่าจ้างของพนักงาน โดยคำนวณตามอัตราก้าวหน้า
ซึ่งภาษี หัก ณ ที่จ่ายนี้ ร้านขายยาก็ต้องนำส่งทุกๆเดือนถ้ามีการจ่ายค่าใช้จ่ายตามที่ยกตัวอย่างไปข้างต้นครับ
Step4 : วางแผนภาษี
กรณีวางแผนภาษีนี้ มักใช้ใน นิติบุคคลหรือร้านขขายยาที่จด บริษัท ตรงจุดนี้มักต้องอาศัยความชำนาญของ นักบัญชี ผู้สอบบัญชี เข้ามาช่วยคำนวณหรือดูตัวเลข ว่ากิจการควรวางแผนภาษีอย่างไร กำไรสิ้นปีที่คาดการณ์ไว้ จะเสียภาษีเท่าไหร่ เจ้าของร้านขายยาโอเคหรือไม่
เช่น ขายยารายได้ต่อปีประมาณ 10 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายประมาณ 7 ล้านบาท กำไรเหลือ 3 ล้านบาท ซึ่งถ้าไม่มีการวางแผนภาษี จะจุกแน่นอน การวางแผนภาษีอย่างง่ายก็เช่น การพิจารณาตั้งเงินเดือนเจ้าของ การพิจารณาทำรายการค่าใช้จ่ายบางอย่างเพิ่มเข้ามาในงบการเงินของบริษัท ก็สามารถลดภาระภาษีได้ครับ
เอาเป็นว่าวันนี้ไว้แค่นี้ก่อนเดี๋ยวจะยาวไป ภาษี ร้านขายยา ยังมีอีกหลายประเด็นไว้ว่างๆจะมาพูดให้ฟังครับ เช่น ขายยาแบบ Telemed / การขายยาให้นักท่องเที่ยวแล้ว นักท่องเที่ยวขอคืนภาษี VAT Refund ได้ บลาๆ ไว้เจอกันครับผม














