ภาษีคลินิก ที่เจ้าของควรรู้
เจ้าของคลินิกหลายท่านอาจจะสงสัยว่า การทำคลินิกต้องยื่นภาษีอย่างไรบ้าง เพราะคลินิกถือเป็นธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาล
ซึ่งมีความแตกต่างจากธุรกิจทั่วไป ดังนั้นการทำบัญชีและภาษีจึงมีข้อควรพิจารณาพิเศษ บทความนี้เราจะมาเจาะลึกเรื่องภาษีสำหรับคลินิกโดยเฉพาะ เพื่อให้เจ้าของคลินิกเข้าใจและเตรียมตัวได้อย่างถูกต้อง
ประเภทภาษีที่คลินิกต้องจ่าย
คลินิกโดยส่วนใหญ่จะดำเนินธุรกิจในรูปแบบ “นามบุคคลธรรมดา” หรือ “บริษัทจำกัด” ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีหน้าที่ทางภาษีแตกต่างกันไป ดังนี้
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (สำหรับคลินิกในนามบุคคล)
คุณลูกค้าต้องเข้าใจก่อนครับว่า รายได้บุคคลธรรมดามี 8 ประเภท ซึ่งคลินิกเนี่ย อาจเป็นได้หลายประเภทขึ้นกับแต่ละรายได้ ที่พบเห็นส่วนมากก็คือ
- เงินได้ประเภทที่ 1: หากได้รับเงินเดือน ประจำ โบนัส จากคลินิคนั้นๆ
- เงินได้ประเภทที่ 2: เช่น ค่าเข้าเวร ที่ไม่ใช่คลินิคประจำ
- เงินได้ประเภทที่ 6: สำหรับคลินิกที่ได้รับเงินจากการรักษาพยาบาล เช่น ค่าตรวจรักษา ค่ายา หรือค่าบริการทางการแพทย์อื่น ๆ
- เงินได้ประเภทที่ 8: สำหรับบุคคลที่อาจไม่ใช่หมอหรือเป็นหมอ แต่ลงทุนในคลินิค ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการตรวจรักษา
- ค่าใช้จ่าย: สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ
- หักตามจริง: ต้องมีหลักฐานค่าใช้จ่ายครบถ้วน เช่น ใบเสร็จรับเงิน
- หักแบบเหมา: กฎหมายให้หักค่าใช้จ่ายได้ในอัตราที่สรรพากร กำหนด ซึ่ง เงินได้ประเภทต่างๆข้างต้น ก็หัก ค่าใช้จ่ายต่างกันไปอีก เช่น ประเภทที่1และ2หักได้แค่ 50% ของรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี (น้อยมากกกก) แต่ ถ้าเป็นรายได้ประเภท 6 หักได้ถึง 60% ทีเดียว
- การยื่นภาษี: ต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ ภ.ง.ด.94 (ครึ่งปี) และ ภ.ง.ด.90 (สิ้นปี)หรือ ภงด.91 ถ้ามีรายได้ประเภท 1-2
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล (สำหรับ ภาษีคลินิก ในนามบริษัท)
- เงินได้: รายได้ของคลินิกในนามบริษัทจะถูกเรียกว่า “เงินได้นิติบุคคล” ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิทางบัญชี (กำไร = รายได้-รายจ่าย)
- การยื่นภาษี: ต้องยื่นภาษีปีละ 2 ครั้ง คือ ภ.ง.ด.51 (ครึ่งปี) และ ภ.ง.ด.50 (สิ้นปี)
- อัตราภาษี: อัตราภาษีจะขึ้นอยู่กับกำไรของบริษัท และได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีจากกรมสรรพากรสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก (SME) คือกำไร 300,000 บาทแรก ไม่ต้องเสียภาษี แต่ส่วนที่เกินมานั้นจะตกอัตรา 15 % / และถ้ากำไรเกิน 3 ล้านบาทจะอัตรา 20% ครับผม
3. ภาษีหัก ณ ที่จ่าย
- คลินิกมีหน้าที่หักภาษี ณ ที่จ่ายเมื่อมีการจ่ายเงินค่าบริการต่าง ๆ เช่น ค่าเช่าคลินิก ค่าจ้างพนักงาน หรือค่าบริการที่ปรึกษา และนำส่งกรมสรรพากรภายในวันที่ 7 ของเดือนถัดไป
4. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
- สำหรับกิจการให้บริการรักษาพยาบาลและบริการที่เกี่ยวข้องกับการรักษาพยาบาลโดยตรง ได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม
- อย่างไรก็ตาม หากคลินิกมีรายได้จากการขายสินค้าอื่น ๆ เช่น อาหารเสริม หรือเครื่องสำอาง ที่ไม่ใช่การรักษาพยาบาลโดยตรงและมีรายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7%
ปวดหัวมั้ยครับ ภาษีคลินิค เป็นอะไรที่มึนมากๆ ต้องอาศัยประสบการณ์ถึงจะเข้าใจทั้งระบบ และช่วยปิดความเสี่ยงได้ถูกต้องเหมาะสม
การทำบัญชีและการจัดการเอกสารสำหรับคลินิก
การทำบัญชีที่ถูกต้องและเป็นระบบเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าของคลินิกจึงควรเก็บรวบรวมเอกสารทางการเงินอย่างเป็นระเบียบ เช่น
- ใบเสร็จรับเงิน/ใบแจ้งหนี้สำหรับรายได้
- ใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีสำหรับค่าใช้จ่าย
- เอกสารการรับ-จ่ายเงินอื่น ๆ
หากมีเอกสารไม่ครบถ้วนหรือไม่ถูกต้อง อาจทำให้การคำนวณภาษีผิดพลาดและมีโอกาสถูกประเมินภาษีย้อนหลังได้แน่นอนครับ
ให้สำนักงานบัญชีเป็นตัวช่วยลดภาระงาน
การจัดการเรื่องภาษีที่ซับซ้อนเหล่านี้อาจเป็นเรื่องยุ่งยากสำหรับเจ้าของคลินิก การใช้บริการสำนักงานบัญชีจึงเป็นทางเลือกที่ดี เพราะไม่เพียงแต่ช่วยจัดทำบัญชีและยื่นภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังช่วยให้เจ้าของคลินิกมีเวลาไปบริหารงานในส่วนอื่น ๆ ได้อย่างเต็มที่
เราพร้อมเป็นที่ปรึกษาด้านภาษีให้กับคลินิกของคุณ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้เลยครับผม
สำนักงานเราอยู่ที่ 176/644 อาคารเดอะทรีบางซื่อ กทม สามารถนัดเข้าพบเพื่อสอบถามได้ หรือติดต่อปรึกษาฟรี !

.

